กฎระเบียบ RoHS 2 ของสหภาพยุโรปถูกกำหนดขึ้นในปีพ.ศ. 2556 เพื่อเป็นการจำกัดการใช้สารอันตรายบางประเภทในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กฎ RoHS 2 มีขอบเขตกว้างกว่าระเบียบ RoHS 2002/95/EC ฉบับเดิมที่กำหนดขึ้นในปีพ.ศ. 2545 โดยมีความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทั้งหมด 5 ข้อดังนี้

1. ขยายขอบเขตผลิตภัณฑ์ให้กว้างขึ้น
2. ปัจจุบันมีการกำหนดให้แสดงเอกสารทางเทคนิค ใบรับรองแสดงความสอดคล้องตามมาตรฐาน (DoC) และการติดเครื่องหมาย CE ตามข้อกำหนด RoHS
3. ผู้ผลิตต้องรับผิดชอบต่อห่วงโซ่อุปทานของตนและวิธีการใช้สารเคมีที่ถูกจำกัดการใช้
4. เพิ่มรายชื่อสารเคมีใหม่ที่ถูกจำกัดการใช้
5. เพิ่มรายชื่อข้อยกเว้นให

การทดสอบความสอดคล้องกับกฎ ROHS มีความสำคัญอย่างไร

การปฏิบัติตาม RoHS เป็นสิ่งจำเป็นหากคุณต้องการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ประเภทใดๆ ในตลาดสหภาพยุโรปและเขตเศรษฐกิจยุโรป (EEA)

• เครื่องหมาย CE ตามข้อกำหนด RoHS เป็นข้อกำหนดภาคบังคับ ดังนั้น การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีเครื่องหมายนี้ในสหภาพยุโรปจึงถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย

• เครื่องหมาย CE ตามข้อกำหนด RoHS ทำให้ผู้บริโภคและผู้มีอำนาจควบคุมเกิดความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของคุณมีความปลอดภัย เพราะการทดสอบจะช่วยให้คุณค้นพบปัญหาและหลีกเลี่ยงการถูกเก็บค่าปรับและการเรียกคืนผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายสูงตามมา

มาตรฐาน RoH 2 มีการกำหนดสารอันตรายที่จำกัดปริมาณในปัจจุบันไว้ 10 ชนิด ดังนี้

1. Cadmium(Cd): 0.01%
2. Mercury: 0.1%
3. Lead(Pb) : 0.1%
4. Hexavalent chromium (Cr6+) : 0.1%
5. Polybrominated biphenyls (PBB): 0.1 %;
6. Polybrominated diphenyl ethers (PBDE): 0.1 %
7. Bis(2-Ethylhexyl) phthalate (DEHP): 0.1% (added in 2015);
8. Benzyl butyl phthalate (BBP): 0.1% (added in 2015);
9. Dibutyl phthalate (DBP): 0.1% (added in 2015);
10. Diisobutyl phthalate (DIBP): 0.1% (added in 2015).